สำรวจ
รีวิว
สอบเข้า
ออนไลน์

บทความจาก TutorFerry

ค้นหาด้วยเสียง
ค้นหาด้วยเสียงคลิกที่นี่

Home » Tutor » บทความจาก TutorFerry

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความจาก TutorFerry แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความจาก TutorFerry แสดงบทความทั้งหมด

13 พฤศจิกายน 2559

ห้องเรียนพิเศษ แก้ปัญหาอ่าน - เขียนภาษาไทย

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ


การอ่าน เขียนภาษาไทย

สำหรับเด็กนักเรียนหลายคนมีปัญหาการเรียนไม่ทันในชั้นเรียน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาเรื่องการอ่าน การเขียนภาษาไทยของนักเรียน นักเรียนบางคนอ่านไม่คล่อง นักเรียนบางคนอยู่ ประถม 2 ประถม 3 แล้วยังอ่านไม่ได้เลยก็มี ซึ่งเป็นปัญหาในการเรียนรู้ของเด็กๆอย่างมากในทุกๆวิชาไม่ใช่เฉพาะวิชาภาษาไทยเท่านั้น



มาดูการฝึกอ่าน เขียนภาษาไทยในระดับต่างๆที่จะทำให้เด็กอ่าน เขียนภาษาไทยได้ 100 % กันครับ


ระดับปฐมวัย

-ฝึกเปล่งคำและเปล่งเสียงพูดชัดเจน
-ฝึกเปล่งเสียงท่องพยัญชนะ ก-ฮ ได้ชัดเจน 
-ฝึกออกเสียงสระ และจดจำได้
- ฝึกเขียน พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์และตัวเลข ๐-๙ ได้ถูกต้อง 
-ฟังนิทาน เรื่องเล่าและ พูด ถาม ตอบได้ชัดเจน ถูกต้อง


ระดับประถม 1

-ฝึกอ่านแจกลูก
-ฝึกอ่าน-เขียนพยัญชนะ
-ฝึกอ่าน-เขียนสระ
- ฝึกอ่าน-เขียน วรรณยุกต์ 
-ฝึกการผันเสียงวรรณยุกต์
-ฝึกการอ่านเขียนแม่ ก กา
- ฝึกการอ่าน-เขียนคำที่มีตัวสะกด
-ฝึกการอ่าน-เขียนอักษรนำ
-ฝึกการอ่าน-เขียนคำควบกล้ำ
-ฝึกการอ่านออกเสียง
-ฝึกการอ่านจับใจความ
-ฝึกเขียนตามคำบอก
-ฝึกคัดลายมือ
-ฝึกอ่าน/เขียนและท่องบทอาขยาน


ระดับประถม 2 ขึ้นไป

-ฝึกเขียนตามคำบอก
-ฝึกคัดลายมือ
-ฝึกอ่านออกเสียง
-ฝึกอ่านจับใจความสำคัญ
-ฝึกเขียนเรื่องจากภาพ
-ฝึกตอบคำถามจากการฟัง
- ฝึกการเขียนสรุปความจากเรื่องที่อ่านและฟัง
-ฝึกการอ่าน-เขียนคำควบกล้ำ
-ฝึกการเขียนเรียงความ
-ฝึกอ่าน/เขียนและท่องบทอาขยาน


พัฒนาทักษะภาษาไทย ด้วยบันได 5 ขั้น


  • ขั้นที่ 1  หาเรื่องให้สนุก
  • ขั้นที่ 2  แจกลูก  สะกดคำ
  • ขั้นที่ 3  อ่านย้ำ  นำวิถี
  • ขั้นที่ 4  คัดลายมือ ให้ถูกวิธี
  • ขั้นที่ 5  เขียนตามคำบอกทุกวัน







ขั้นตอนเรียนซ้ำชั้นของโรงเรียนทั่วประเทศ วัดผลหลายแบบ-ซ่อมเสริม-สอบแก้ตัว ผ่านไม่ถึงครึ่ง เกรดต่ำ 1.00 ให้เรียนซ้ำ

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ
เรียนพิเศษที่บ้าน โคราช มหาสารคามอุดร ขอนแก่น สงขลา ภูเก็ต สมุทรปราการ ปทุมธนสี นนทบุรี ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่



" สพฐ.แจ้ง 5 ขั้นตอน ซ้ำชั้น โรงเรียนทั่วประเทศ
วัดผลหลายแบบ-ซ่อมเสริม-สอบแก้ตัว
ผ่านไม่ถึงครึ่ง  เกรดต่ำ 1.00 ให้เรียนซ้ำ "


เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า

ตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ของการเรียนซ้ำชั้น โดย สพฐ.ได้สรุปข้อมูลเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิจารณาแล้ว ทั้งนี้ จากการเปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งผู้ปกครอง ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักวิชาการ นักจิตวิทยา และผู้เกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วน แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย


ผู้ที่เห็นด้วยมองว่าการให้เรียนซ้ำชั้น ควรเริ่มตั้งแต่ชั้น ป.1 เพื่อให้อ่านออก เขียนได้ มีความรู้ที่จะเรียนในระดับที่สูงขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนกระตือรือร้น ให้ความสำคัญกับการเรียน และเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น

สำหรับข้อเสีย ส่วนใหญ่โดยเฉพาะนักจิตวิทยากังวลว่าจะมีผลกระทบทางจิตใจ ส่งผลต่อความสัมพันธ์ พฤติกรรมทางสังคม ทำให้เด็กเครียด และถ้าเป็นนักเรียนระดับมัธยม อาจถึงขั้นไม่เรียน และตัดสินใจลาออก ขณะที่ผู้ปกครองบางคนมองว่าทำให้เด็กเสียเวลา ขาดโอกาส ทั้งนี้ที่ผ่านมา

สพฐ.ไม่เคยมีนโยบายห้ามไม่ให้เด็กที่สอบตกเรียนซ้ำชั้น และเรื่องนี้กำหนดไว้ในปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรอยู่แล้ว เพียงแต่โรงเรียนอาจไม่เข้าใจ ดังนั้น จึงได้เสนอให้ออกหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติดังกล่าวไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ เพื่อแจ้งไปยังโรงเรียนต่างๆ

ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรดังกล่าว เพื่อให้สถานศึกษานำไปปฏิบัตินั้น เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน และตรงกัน ในประเด็นของการเรียนซ้ำชั้น มีประเด็นที่ สพฐ.ขอซักซ้อมความเข้าใจ ดังนี้


1. การวัดและประเมินผลการเรียน

ให้สถานศึกษาวัดและประเมินผลการเรียนของผู้เรียนเป็นระยะระหว่างเรียน โดยใช้เทคนิคการวัดและประเมินผลอย่างหลากหลาย เพื่อตรวจสอบพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน ถ้าพบปัญหา หรือข้อบกพร่องในตัวผู้เรียน ให้ช่วยเหลือ และซ่อมเสริมทันที โดยเฉพาะชั้น ป.1 ต้องพัฒนาให้ผู้เรียนอ่านออก เขียนได้


2. การสอนซ่อมเสริม

เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง และพัฒนาผู้เรียน ให้มีความรู้ ทักษะ กรณีที่ผู้เรียนมีผลการประเมินไม่ผ่าน หรือได้ “0” สถานศึกษาต้องจัดสอนซ่อมเสริมให้ผู้เรียนก่อนสอบแก้ตัวนอกเหนือจากการสอนปกติ


3. ให้ผู้เรียนสอบแก้ตัว 2 ครั้ง

ครั้งที่ 1 ให้ผู้เรียนยื่นคำร้องสอบแก้ตัว โดยให้ครูประจำวิชา หรือครูประจำชั้นสอนซ่อมเสริม และสอบแก้ตัว ให้เสร็จก่อนเปิดภาคเรียน หรือภาคเรียนแรกของปีการศึกษาถัดไป สอบแก้ตัวครั้งที่ 2 กรณีครั้งที่ 1 ไม่ผ่าน หรือไม่มาสอบแก้ตัว ให้โอกาสสอบแก้ตัวอีก 1 ครั้ง โดยสถานศึกษาแต่งตั้งกรรมการสอนซ่อมเสริม และสอบแก้ตัวให้เสร็จก่อนเปิดภาคเรียน หรือในภาคเรียนแรกของปีการศึกษาถัดไป


4. เรียนซ้ำชั้นรายวิชา

ผู้เรียนที่สอนซ่อมเสริม และสอบแก้ตัว 2 ครั้งแล้ว ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินรายวิชา หรือยังได้ “0” ถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐานให้เรียนซ้ำชั้นในวิชานั้น ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติม ให้เรียนซ้ำชั้นในวิชานั้น หรือเปลี่ยนวิชาใหม่ ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา กรณีเปลี่ยนวิชาใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียบแสดงผลการเรียนว่าเรียนแทนวิชาใด ในการเรียนซ้ำรายวิชาให้อยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งที่สถานศึกษาเห็นว่าเหมาะสม เช่น พักกลางวัน วันหยุด ชั่วโมงว่างหลังเลิกเรียน ภาคฤดูร้อน เป็นต้น


5. การเรียนซ้ำชั้น

หากพบปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนกรณีใดกรณีหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น ดังนี้ ระดับประถม ผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาเกินครึ่งหนึ่งตามโครงสร้างเวลาเรียน ผู้เรียนชั้น ป.1-2 ได้รับการประเมินแล้วยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดเลขไม่เป็น ระดับมัธยม การเรียนซ้ำชั้นของผู้เรียนในระดับมัธยม เมื่อผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้ มีผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นต่ำกว่า 1.00 และมีแนวโน้มจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับที่สูงขึ้น ผู้เรียนที่มีผลการเรียน “0”, “ร” หรือ “มส” เกินครึ่งหนึ่งของรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษานั้น

ทั้งนี้ การพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นหรือซ้ำชั้นรายวิชา ให้สถานศึกษาดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ ให้แจ้งผู้ปกครองและผู้เรียนทราบเหตุผลของการเรียนซ้ำชั้นหรือซ้ำรายวิชา




ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้รายงานความคืบหน้าแนวทางการเรียนซ้ำชั้น หลังจากที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปคิดแนวทางดำเนินงาน โดยข้อเสนอของ สพฐ.คือ ให้ซ้ำชั้น ป.3, ป.6 และ ม.3 ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องถึงการตกซ้ำชั้นแนวใหม่ ที่จะให้ซ้ำชั้น ป.3, ป.6 และ ม.3 มีการให้เรียนซ้ำเป็นรายวิชา หรือซ้ำชั้นในกรณีไม่ผ่านรายวิชาเกินครึ่งหนึ่งของวิชาที่เรียน

ซึ่งจากการลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องในภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครู นักจิตวิทยา และผู้แทนผู้ปกครอง ถึง 3 ครั้ง พบว่าในภาพรวมของประเทศเห็นด้วยเรื่องการให้เด็กเรียนซ้ำชั้น ถึงร้อยละ 95.18 และมีข้อสังเกตเรื่องการกระทบจิตใจ ร้อยละ 4.82

ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า หลังรับฟังรายงานแล้ว รมว.ศึกษาธิการ ย้ำว่าในการให้เรียนซ้ำชั้นควรมี 3 ขั้นตอน คือ 1.ตรวจสอบให้แน่นอนว่าเด็กเรียนอ่อน มีปัญหาคุณภาพจริงๆ 2.ให้ใช้วิธีการเพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้องก่อน ครูและผู้บริหารต้องร่วมกันดูแลสอนซ่อมเสริมให้แก่เด็ก และ 3.ต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองให้รับรู้ถึงศักยภาพในการเรียนของลูกหลานตนเอง พร้อมทั้งให้โจทย์ สพฐ.มาคิดต่อว่าหากเด็กต้องเรียนซ้ำชั้นจะดูแลอย่างไร และคงต้องมาดูอีกครั้งว่าควรจะให้ซ้ำที่ชั้นไหนจึงจะเหมาะสมที่สุด เช่น อาจจะเป็นซ้ำชั้น ป.2 ป.5 หรือ ม.2 เป็นต้น

"ขณะนี้นักเรียนกำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2/2559 ดังนั้น จะต้องมีกระบวนการในภาคเรียนที่ 2นี้ว่า สถานศึกษาต้องใช้มาตรการต่าง ๆ ร่วมกันดูแลนักเรียนอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เด็กต้องซ้ำชั้น และวางแผนต่อด้วยว่า ในเดือน มี.ค.2560 หากเด็กต้องซ้ำชั้นจริงๆ เดือน เม.ย.-พ.ค.2560 ช่วงปิดภาคเรียนควรดำเนินการอย่างไรกับเด็กที่ต้องซ้ำชั้น"ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าว








10 พฤศจิกายน 2559

การส่งสารด้วยการพูด วิชาภาษาไทยมัธยมต้น

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ

ส่งสารด้วยการพูด

การส่งสารด้วยการพูด วิชาภาษาไทยมัธยมต้น


การพูดที่มีประสิทธิภาพ  หมายถึง  การพูดได้เนื้อถ้อยกระทงความสนองจุดประสงค์ของผู้พูด ส่วนหนึ่งของการพูด  เราสอนและฝึกได้  การพูดเป็น “ศาสตร์” มีหลักการ กฎเกณฑ์ และเป็นศิลปะเฉพาะตัวที่อาจจะลอกเลียนกันได้ยาก ซึ่งอาจประกอบไปด้วย

๑.  ผู้พูดมีความรู้ในเรื่องที่จะพูด
๒.  มีจุดประสงค์ในการพูด
๓.  ผู้พูดรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง
๔.  โอกาสที่พูดเหมาะสม
๕.  ผู้พูดพูดได้ชัดเจน
๖.  ผู้พูดรู้จักสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง
๗.  ผู้พูดมีบุคลิกลักษณะที่น่าเชื่อถือ

การพูดระหว่างบุคคล
๑.  การทักทายปราศรัย
๒.  การแนะนำตนเอง
๓.  การสนทนา

การพูดในกลุ่ม
๑.  การเล่าเหตุการณ์ที่ได้อ่านหรือฟังมา
๒.  การเล่าเหตุการณ์

การพูดระหว่างบุคคล

เป็นการพูดที่ไม่เป็นทางการ  ปกติทั้งผู้พูดและผู้ฟังมักไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อน  ไม่จำกัดสถานที่และเวลา  เนื้อหาไม่มีขอบเขตจำกัดแน่นอน  แต่เป็นการพูดที่คนเราต้องใช้มากที่สุด  และควรฝึกฝนให้ใช้การได้อย่างคล่องแคล่ว  การพูดประเภทนี้ได้แก่  การพูดทักทายปราศรัย  การแนะนำตนเองและการสนทนา
๑.  การทักทายปราศรัย
ธรรมเนียมไทยใช้คำทักทายปราศรัยว่า  “สวัสดี สบายดีหรือคะ” เป็นการเริ่มต้น ในการทักทายปราศรัยต้องระมัดระวังไม่ล่วงล้ำก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา การทักทายปราศรัยควรปฏิบัติดังนี้ คือ
๑.  ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความรู้สึกยินดีที่ได้พบผู้ที่เราทักทาย
๒.  กล่าวคำปฏิสันถารหรือทักทายตามธรรมเนียมนิยมที่ยอมรับกันในสังคม  เช่น  “สวัสดีครับ..........สวัสดีค่ะ............”
๓.  แสดงกิริยาอาการประกอบคำปฏิสันถาร  ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานะของบุคคลที่เราทักทาย  

๒.  การแนะนำตนเอง
การแนะนำตนเองมีความสำคัญในชีวิตประจำวันเพราะแต่ละวันเรามักจะได้พบ  ได้รู้จัก  ได้สังสรรค์  และติดต่อกิจธุรการงานกับบุคคลอื่น ๆ อยู่เสมอ  บุคคลอาจแนะนำตนเองในหลายโอกาสด้วยกัน  คือ 
๑.  การแนะนำตนเองในที่สาธารณะ  มักจะมีการสนทนาสั้น ๆ เริ่มขึ้นมาก่อน  แล้วจึงมีการแนะนำตนเองขึ้น  มิใช่จู่ ๆ ก็แนะนำตนเองขึ้นมา
๒.  การแนะนำตนเองในการทำกิจธุระ  ต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า  เพราะมักจะเกิดกับผู้ที่ยังไม่รู้จัก  การแต่งกายก็ควรเรียบร้อย  ไปให้ตรงเวลา  และเมื่อพบบุคคลที่นัดควรบอกชื่อ   นามสกุลของเราด้วยน้ำ
เสียงที่สุภาพและบอกกิจธุระของตนตามไป  หรืออาจบอกกิจธุระก่อนก็ได้
๓.  การแนะนำตนเองในงานเลี้ยง  เช่น  งานวันเกิด  งานมงคลสมรส  งานฉลองใด ๆ ก็ตาม ควรคำนึงถึงมารยาททางสังคม  การแนะนำตนเองในงานเลี้ยงอาจเริ่มด้วยการแสดงสีหน้าท่าทางที่แสดงความเป็นมิตร  การช่วยเหลือ  การให้บริการซึ่งกันและกันแล้วจึงแนะนำโดยการกล่าวชื่อ  หรือนามสกุล  และรายละเอียดพอสมควร  แต่ไม่ควรบอกตำแหน่งหรือสถานที่ทำงาน  เพราะอาจจะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าด้อยกว่า  และคู่สนทนาก็ควรแนะนำตนเองบ้าง  อย่าอ้ำอึ้งรีรอจนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอึดอัดได้
๔.  การแนะนำตนเองในกลุ่มย่อย  ที่มีคนประมาณ ๑๐ – ๑๕  คน  และส่วนใหญ่ไม่รู้จักกันมาก่อน  เมื่อเริ่มประชุมควรแนะนำตนเองให้รู้จักกัน  เพื่อให้เกิดความเป็นกันเอง  เช่น  บอกชื่อ  นามสกุล  เป็นต้น  และคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็ควรแสดงกิริยาต้อนรับ  ด้วยการยิ้มให้ก้มศีรษะรับก็ได้
๓.   การสนทนา
การสนทนาเป็นกิจกรรมที่บุคคลเฉพาะสองคนหรือมากกว่านั้นพูดคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความ
คิด  ความรู้สึก  และประสบการณ์ระหว่างกันอย่างไม่เป็นทางการ
    ๓.๑  การสนทนาระหว่างบุคคลที่รู้จักคุ้นเคย  การสนทนาที่ดีจะนำความราบรื่น  ความเจริญและความสุขมาให้  ตรงกันข้ามการสนทนาที่ไม่ดีจะก่อให้เกิดความแตกร้าว  และนำไปสู่ความเสื่อมทำให้กิจการงานไม่ก้าวหน้าและสับสนวุ่นวาย  การสนทนาระหว่างบุคคลที่รู้จักคุ้นเคย  ควรคำนึงถึงเรื่องที่สนทนาและคุณสมบัติของผู้ร่วมสนทนา  การสนทนาที่ดีควรคำนึงถึงเรื่องที่สนทนา  ดังต่อไปนี้
๓.๑.๑  ควรเป็นเรื่องที่ตนเองและคู่สนทนามีความรู้และมีความสนใจร่วมกัน
๓.๑.๒  ควรเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันหรือเป็นข่าวที่กำลังอยู่ในความสนใจ
๓.๑.๓  ควรเป็นเรื่องที่เหมาะแก่กาลเทศะและเหตุการณ์  เช่น  ถ้าไปงานมงคลก็พูดแต่เรื่องที่ดีงาม  หรือขณะรับประทานอาหารก็ไม่พูดถึงสิ่งที่น่ารังเกียจ  เป็นต้น
๓.๑.๔  ควรเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้คู่สนทนาเคร่งเครียดจนเกินไป  ควรให้มีความสนุกขบขันบ้างทั้งนี้ควรงดเว้นเรื่องต่าง ๆ ต่อไปนี้
๑.  เรื่องส่วนตัวของผู้พูดเองและเรื่องที่ผู้อื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
๒.  การพูดโอ้อวดความสามารถของตนเอง
๓.  การปรับทุกข์  การกล่าวถึงความเคราะห์ร้ายของตนเองเพื่อเรียกร้องความสนใจยกเว้นเมื่อสนทนากับผู้ที่สนิทจริง ๆ 
๔.  การนินทาว่าร้ายผู้อื่น การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
เรียนภาษาไทยที่บ้าน ที่สงขลา ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง นนทบุรี ปทุมธานี


คุณสมบัติของผู้ร่วมสนทนาที่ดี
๑.  มีความรู้ทั่วไปในเรื่องต่าง ๆ พอสมควร
๒.  ใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาที่ง่าย  สุภาพ  คำพูดและน้ำเสียงน่าฟัง  เป็นกันเองกับคู่สนทนาไม่พูดทับถมคู่สนทนาถ้าจำเป็นต้องค้านควรพูดขออภัยก่อน
๓. รู้จักฟัง  ในขณะที่ฟังอาจนึกอยากพูดบ้างควรรอให้คู่สนทนาพูดจบก่อน
๔.  รู้จักสังเกตความรู้สึกของผู้ร่วมสนทนา  
๕.  รู้ว่าอะไรควรพูดและอะไรไม่ควรพูด
๖.  ควรพูดด้วยอารมณ์ขันที่มีรสนิยมดี เพราะอารมณ์ขันจะช่วยชักนำให้การสนทนาดำเนินไปในทางสร้างสรรค์
๓.๒  การสนทนากับบุคคลแรกรู้จัก
หัวข้อที่ควรนำมาสนทนาคือเรื่องดินฟ้าอากาศ  ข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงแท้ ๆ ในขณะนั้นแต่ไม่ควรเป็นเรื่องที่มีประเด็นโต้แย้งกันอยู่  เพราะคู่สนทนาอาจมีทรรศนะที่ตรงข้ามกันได้  ควรรู้จักสังเกตว่าคู่สนทนาเป็นคนชอบพูดหรือชอบฟังเพื่อจะได้ปฏิบัติตนได้ถูกกาลเทศะ

การพูดในกลุ่ม

การพูดในกลุ่มเป็นกิจกรรมที่สำคัญในสมัยปัจจุบัน  ทั้งในชีวิตประจำวันและในการศึกษา  โดยเฉพาะในโรงเรียนการแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ๘ – ๑๐ คน แล้วให้ไปอภิปรายถกเถียงกันเป็นการฝึกให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นทำให้นักเรียนทุกคนเติบโตในด้านความคิด
๑.  การเล่าเรื่องราวที่ได้อ่านหรือฟังมา  ควรมีวิธีการดังนี้
๑.  เล่าถึงเนื้อหาและประเด็นสำคัญ ๆ ว่ามีอะไรบ้าง  โดยไม่ต้องกล่าวถึงรายละเอียด
๒.  ภาษาที่ใช้ในการเล่าควรเป็นภาษาง่าย ๆ ไม่ใช้ศัพท์ยาก  ใช้ประโยคสั้น  เข้าใจง่าย
๓.  ใช้น้ำเสียงชัดเจนน่าฟัง  เน้นเสียงในตอนสำคัญ  เพื่อแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่าง ๆ 
๔.  ใช้กิริยาท่าทางประกอบตามความเหมาะสม
๕.  ผู้เล่าควรจำเรื่องให้ได้  เรียงลำดับเรื่องให้ถูกต้อง เน้นตอนสำคัญเพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้ฟัง
๖.  อาจสรุปเป็นข้อคิดในตอนท้ายหรือทิ้งให้ผู้ฟังคิดเองหรือใช้เป็นประเด็นที่จะอภิปรายต่อไป
๒.  การเล่าเหตุการณ์
๑.  กล่าวเริ่มต้นด้วยการแสดงเหตุผลในการเล่าเหตุการณ์นั้น ๆ 
๒.  ระบุวันเวลา สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์นั้น ๆ 
๓.  กล่าวถึงบุคคลที่สำคัญแก่เหตุการณ์นั้น 
๔.  เล่าเหตุการณ์ตามลำดับที่เกิดขึ้นให้มีความต่อเนื่องกัน
๕.  ใช้ถ้อยคำและสำนวนภาษาที่ทำให้ผู้ฟังเห็นภาพ  ใช้ประโยคง่าย ๆ กะทัดรัดเพื่อจะได้สื่อความหมายได้ดี
๖.  น้ำเสียงแจ่มใส  ดังชัดเจน  เน้นเสียงและใช้ระดับเสียงพอเหมาะ
๗.  ใช้สีหน้า  ท่าทาง  กิริยาประกอบการเล่าเหตุการณ์ด้วย  จะได้ดูเป็นธรรมชาติ
๘.  แสดงข้อคิดเพิ่มเติมตามควร

การส่งสารด้วยการเขียน วิชาภาษาไทยมัธยมต้น

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ

ส่งสารด้วยการเขียน

การส่งสารด้วยการเขียน วิชาภาษาไทยมัธยมต้น

การเขียน  คือการแสดงความรู้  ความคิด  ความรู้สึกและความต้องการของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร  เพื่อให้ผู้รับสารสามารถอ่านเข้าใจ  ได้รับทราบความรู้  ความคิด  ความรู้สึก  และความต้องการเหล่านั้น  การถ่ายทอดโดยวิธีบอกเล่าปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า มุขปาฐะ  อาจทำให้สารตกหล่นหรือคลาดเคลื่อนได้ง่าย

ในการเขียนภาษาไทยมีแบบแผนที่ต้องรักษา  มีถ้อยคำสำนวนสำหรับใช้โดยเฉพาะและต้องเขียนให้แจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียนได้เมื่ออ่านไม่เข้าใจ  ผู้ที่จะเขียนได้ดีจำเป็นต้องเลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะแก่ผู้รับสาร  โดยพิจารณาว่าผู้รับสารสามารถรับสารได้มากน้อยเพียงใด

การเขียนจะมีประสิทธิภาพผู้เขียนจำเป็นต้องมีความสามารถ  ดังนี้

๑.  มีความรู้ดีพอในเรื่องที่จะเขียน
๒.  เลือกรูปแบบเหมาะสมแก่เนื้อหา
๓.  ใช้ถ้อยคำสำนวนเหมาะสมแก่เนื้อหา
๔.  ใช้ถ้อยคำสำนวนมีความหมายชัดเจน
๕.  ใช้ถ้อยคำสำนวนอันเป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาษาสุภาพ

กระบวนการเขียนและกระบวนการคิด

กระบวนการเขียนภาษาไทยที่ดีประกอบด้วยความสามารถของผู้เขียนซึ่งมีดังนี้
๑.  เลือกใช้คำที่สื่อความหมายได้แจ่มแจ้ง  ใช้ถ้อยคำกะทัดรัด  เหมาะสมแก่ระดับของผู้อ่านและรูปแบบการเขียน
๒.  เขียนตัวอักษรให้อ่านง่าย  และให้มีขนาดพอเหมาะแก่หน้ากระดาษและความสะดวกของผู้อ่าน
๓.  เขียนถูกต้องตามอักขรวิธี  คำนึงถึงการสะกดคำการใช้เครื่องหมายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
๔.  แต่งประโยคมีใจความบริบูรณ์  ลำดับความให้เข้าใจง่าย  ไม่วกวน
๕.  เว้นวรรคตอน  ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสารได้ง่าย
๖.  ขึ้นย่อหน้าใหม่เมื่อมีข้อคิดที่จะเสนอใหม่
กระบวนการคิดมีหลักดังนี้
๑.  เกิดความต้องการที่จะเขียน
๒.  คิดหาวิธี
๓.  เปรียบเทียบและเลือกวิถีทางใดจะยากง่ายกว่ากัน
๔.  แยกแยะว่าจะเริ่มตอนใดก่อน
๕.  ลำดับข้อคิด
๖.  ลงมือเขียน
๗.  ตัดสินใจว่าจะใช้สำนวนภาษาชนิดใด
๘.  หาวิธจบพร้อมทั้งข้อเสนอแนะ

เรียนภาษาไทยที่บ้าน ภูเก็ต หาดใหญ่ ขอนแก่น อุดร ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี

  รูปแบบการเขียน

มี ๒ รูปแบบคือ  ๑) ร้อยกรอง  ๒)  ร้อยแก้ว  ได้แก่
๑.  จดหมาย
-  จดหมายส่วนตัว  เป็นจดหมายที่เขียนถึงกันในวงญาติสนิทมิตรสหาย  หรือถึงครู –
อาจารย์เพื่อส่งข่าวคราว  ไต่ถามทุกข์สุข  แสดงความรักความระลึกถึงที่มีต่อกัน  หรือเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่น่ารู้  น่าสนใจใคร่ฟัง  ตลอดจนขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
-  จดหมายกิจธุระ  เป็นจดหมายที่บุคคลเขียนติดต่อกับบุคคลอื่น  หรือบริษัท  ห้างร้าน องค์การเพื่อแจ้งกิจธุระ เป็นต้นว่านัดหมาย ขอความช่วยเหลือ  ขอสมัครงาน  และขอคำแนะนำเพื่อประโยชน์ในด้านการงานต่าง ๆ 
-  จดหมายธุรกิจ  เป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกันในเรื่องเกี่ยวกับพาณิชยกิจและการเงินใน
ระหว่างบริษัท  ห้างร้านและองค์การต่าง ๆ
-  จดหมายราชการ  ทางราชการเรียกว่า  หนังสือราชการ  เป็นจดหมายที่ติดต่อกันเป็นทางราชการ  จากส่วนราชการหนึ่งถึงอีกส่วนราชการหนึ่ง  ข้อความในหนังสือนั้นถือว่าเป็นหลักฐานทางราชการ  และมีสภาพผูกมัดถาวรในราชการ  หนังสือราชการนี้จะต้องมีเลขที่หนังสือและลงทะเบียนรับ – ส่ง ตามระเบียบงานสารบรรณ

กลวิธีการเขียนจดหมายให้มีประสิทธิผล
๑.  ต้องเขียนข้อความให้ชัดเจน  
๒.  ลายมือเรียบร้อย  สะอาด
๓.  ใช้ภาษาไทยถูกต้องตามความหมายและความนิยม
๔.  ใช้แบบฟอร์มที่รับรองว่าถูกต้อง
๕.  ใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมาในการเขียนจดหมายราชการ  กิจธุระและธุรกิจ  

๒.  เรียงความ  เรื่องหนึ่ง ๆ ประกอบด้วย
-  หัวข้อ  อาจจะเป็นเรื่องรูปธรรม หรือนามธรรมก็ได้
-  ความนำ  ต้องกระตุ้นความสนใจ  ปูพื้นฐานความเข้าใจ  หรือชี้ให้เห็นความสำคัญของเรื่อง
-  ตัวเรื่อง  ควรมีจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งคือ  ๑)  เพื่อให้ข้อเท็จจริงแก่ผู้อ่าน  ๒)  เพื่อโน้มน้าวใจผู้อ่านให้เชื่อถือหรือคล้อยตามแนวความคิดของผู้เขียน ๓) เพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ๔) เพื่อส่ง -
เสริมให้ผู้อ่านใช้ความคิดของตนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
- ความลงท้าย ซึ่งมีวิธีเขียนได้หลายวิธี ดังนี้ ๑) สังเขปความทั้งหมดให้ได้สาระสำคัญชัดเจน๒) หยิบส่วนสำคัญที่สุดมากล่าวย้ำ ๓) เลือกสุภาษิตคำคมมากล่าวย้ำ ๔) ฝากข้อคิดให้ผู้อ่าน ๕) ทิ้งให้ผู้อ่านคิดต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องเสนอ ข้อยุติ
๓.  ย่อความ  เป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่ตัดทอนข้อความที่มีอยู่ยืดยาวให้สั่นลงโดยรักษาสาระสำคัญไว้  ในการย่อความจะเป็นการพูดหรือเขียนก็ตามมีกระบวนการคิดแบบเดียวกัน
เรื่องราวหรือข้อความ  หรือสารในการพูดและการเขียนครั้งหนึ่ง ๆ นั้นประกอบด้วย
ใจความ  คือ  ข้อความที่สำคัญที่สุดถ้านำใจความออกก็จะเปลี่ยนแปลงสารทั้งหมด
พลความ  คือ  ข้อความที่ขยายใจความให้ชัดเจน  ถ้าตัดพลความออกสารที่ส่งมาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
เนื้อหาในใจความและพลความมี  ๓  ชนิด  คือ
๑.  ข้อเท็จจริง  คือเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่แสดงสถานที่ไหน  เมื่อไร  ปริมาณหรือขนาดเท่าใด  มีลักษณะอย่างไร  อาจจะเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วหรือกำลังปรากฏอยู่
๒.  ข้อคิดเห็น  เป็นข้อความแสดงความเชื่อหรือแนวคิดหรือความรู้สึกส่วนตัวที่ผู้กล่าวมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  ผู้อื่นอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้
๓.  ข้อความแสดงอารมณ์  ข้อความชนิดนี้ทำให้ผู้รับสารจากบทเขียนหรือบทพูด รู้ได้ว่าผู้ส่งสารมีอารมณ์หรือความรู้สึกเป็นอย่างไรระหว่างที่ส่งสาร  

กระบวนการคิดในการย่อความ

๑.  วิเคราะห์ว่าต้นเรื่องเป็นงานเขียนชนิดใด  เช่น  บทความ  นวนิยาย  บทร้อยกรอง ฯลฯ
๒.  ต้องแยกได้ว่า  สารนั้นเป็นข้อเท็จจริง  ข้อคิดเห็น  หรือแสดงอารมณ์  เริ่มเรื่องอย่างไร  ดำเนินเรื่องอย่างไรและจบอย่างไร  มีฉาก  เหตุการณ์และตัวละครสำคัญ ๆ อะไรบ้าง
๓.  พยายามตีความต้นเรื่องว่า  ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายอย่างไร  เช่น  เพื่อให้ความรู้  เพื่อโน้มน้าวใจ  เป็นต้น พิจารณาหาใจความและพลความ

การย่อความเพื่อประโยชน์ในการศึกษา

๑.  การบันทึกรายงานการประชุม    เป็นหน้าที่ของเลขานุการกลุ่ม  เพื่อจะนำเสนอต่อที่ประชุม  เป็นการเขียนรายงานสั้น ๆ หรือย่อความนั่นเอง  การย่อความแบบนี้มิใช่เป็นการตัดความให้สั้น  แต่เป็นการคัดเลือกข้อความที่สำคัญจากผู้พูดหลายคนมาเรียบเรียงใหม่
๒.  การย่อความรู้จากหนังสือเรียน  หรือคำอธิบายของครูทำเป็นสังเขปเรื่อง  เพื่อสะดวกในการทบทวนบทเรียน
๓.  การเขียนคำตอบข้อสอบแบบอัตนัย  ต้องอาศัยความสามารถในการย่อความ  เพราะต้องย่อความรู้ทั้งหมดให้เหลือข้อความสั้น ๆ ที่จะเขียนตอบให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดให้

06 พฤศจิกายน 2559

การเงิน การคลัง การธนาคาร งบประมาณ วิชาสังคม มัธยมต้น

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ

การเงิน การคลัง การธนาคาร งบประมาณ

เรียนวิชาสังคมที่บ้าน กรุงเทพ นนทบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี ชลบุรี ระยอง โคราช ขอนแก่น อุดรฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่


เงิน คือ สิ่งใดก็ตามที่สังคมยอมรับอย่างแพร่หลายในฐานะสื่อกลางของการแลกเปลี่ยน มีอำนาจซื้อขายสินค้าและบริการ สามารถรักษามูลค่าหรือหน่วยทางบัญชี สะสมความมั่งคั่งได้และสามารถชำระหนีได้ตามกฎหมาย



ลักษณะของเงินที่ดี

1.  เป็นที่ยอมรับในสังคมทั่วไปอย่างแพร่หลาย
2.  แบ่งแยกเป็นหน่วยย่อย ๆ ได้
3.  มีเสถียรภาพในมูลค่า ไม่เปลี่ยนขึ้นลงรวดเร็ว
4.  พกพานำติดตัวได้สะดวก
5.  มีความคงทนถาวร


หน้าที่ของเงิน

จำแนกแกเป็น 4 ประเภท คือ
1.  เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
2.  เป็นมาตรฐานในการวัดค่า คือ สามารถกำหนดราคาสินค้าและบริการทุกชนิดออกมาเป็นเงิน ใช้วัดค่าเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างกันก่อนที่จะตัดสินใจซื้อขายแลกเปลี่ยน
3.  เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ภายหน้าสามารถใช้ประโยชน์ในสินค้าและบริการและชำระหนี้ในอนาคตได้
4.  เป็นเครื่องรักษามูลค่า การรักษามูลค่าหรือสะสมความมั่งคั่ง สามารถกระทำได้ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น เก็บในรูปของวัตถุมีค่าต่าง ๆ ที่ดิน บ้าน เป็นต้น ทั้งนี้การถือเงินไว้ในมือเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งมีสภาพคล่อง ใช้จ่ายได้ทันที ใช้ในการลงทุนได้สะดวก

ประเภทของเงิน 
1.  เหรียญกษาปณ์ ทำจากโลหะโดยกำหนดค่าต่าง ๆ ไว้ เช่น เหรียญ 5 บาท 10 บาท เป็นต้น ผลิตโดยกระทรวงการคลัง
2.  เงินธนบัตร หรือเงินกระดาษ คือ กระดาษที่พิมพ์ขึ้นเป็นพิเศษและกำหนดมูลค่าเอาไว้ ผลิตโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ธนบัตรฉบับละ 50 บาท เป็นต้น
3.  เงินฝากกระแสรายวัน คือสิทธิที่ธนาคารให้แก่ลูกค้าที่ฝากเงินประเภทนี้ใช้เช็ค (cheque) สั่งจ่ายเงินในบัญชีได้ จำนวนเงินที่กรอกลงในเช็คก็คือ มูลค่าของเงินที่คราเอาไว้


ตลาดเงิน

ตลาดเงิน หมายถึง ตลาดที่อำนวยความสะดวกในการโอนเงินจากหน่วยเศรษฐกิจที่มีเงินออกไปยังหน่วยเศรษฐกิจที่ต้องการเงินออม เพื่อนำไปลงทุนประกอบด้วย
1.  ตลาดเงิน คือ การระดมทุนและให้สินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 เช่น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วเงินคลัง 
2.  ตลาดทุน คือ ตลาดที่มีการระดมเงินออมระยะยาวให้สินเชื่อตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ได้แก่ เงินฝากประจำ หุ้นกู้ หุ้นสามัญ และพันธบัตรของทั้งรัฐบาลและเอกชน
ความสำคัญของตลาดเงิน คือ
1.  เป็นการระดมทุนจากหน่วยเศรษฐกิจที่มีเงินออม
2.  ก่อให้เกิดการจัดสรรทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
3.  ช่วยรักษาความเจริญ เติบโต ของระบบเศรษฐกิจ
4.  ตลาดเงินช่วยแก้ปัญหาทางการเงินในระดับมหภาคได้


เรียนวิชาสังคมที่บ้าน


การธนาคาร หรือสถาบันการเงิน

ความหมาย ประเภท ของสถาบันทางการเงิน
สถาบันทางการเงิน หมายถึง หน่วยงานหรือองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับเงินออมจากผู้มีเงินออมต่าง ๆ มาให้ผู้ต้องการกู้ยืมเงิน เพื่อการบริโภค หรือเพื่อลงทุน
ประเภทของสถาบันการเงิน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.  ธนาคารพาณิชย์ หมายถึง ธนาคารที่ประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืน เมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลากำหนดไว้ โดยนำไปใช้ประโยชน์ให้กู้ยืม ซื้อขายเป็นตั๋วแลกเงินหรืออื่น ๆ 

     หน้าที่ธนาคารพาณิชย์

1.  รับฝากเงินของเอกชน บริษัทห้างร้านทั่วไป ประเภทกระแสรายวัน ออมทรัพย์และประจำ
2.  ให้สินเชื่อและเครดิตหรือให้การกู้ยืมแก่เอกชน บริษัทห้างร้านหรือบุคคลทั่วไป
3.  การซื้อลดตั๋วเงิน โดยได้รับส่วนลดเป็นดอกเบี้ย
4.  การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
5.  การออกหนังสือค้ำประกัน
6.  อำนวยความสะดวกให้กับผู้สั่งซื้อสินค้าเข้าและผู้ส่งสินค้าออก
7.  การซื้อพันธบัตรจากรัฐบาล
8.  การบริการอื่น ๆ เช่น การเช่าตู้นิรภัย เช็คของขวัญ
2.  ธนาคารกลาง เป็นธนาคารที่มีบทบาทหลักในการจัดการให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ เช่น แก้ไขเงินเฟ้อ ดูแลการปล่อยสินเชื่อ หรือป้องกันมิให้ธนาคารพาณิชย์ล้ม เป็นต้น
     หน้าที่ของธนาคารกลาง
1.  รักษาเสถียรภาพทางการเงิน ดำเนินนโยบายที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจ เพื่อก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเงินทั้งภายในและภายนอก
2.  กำกับดูแลสถาบันการเงิน ตรวจสอบการทำงานของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ให้มีความมั่นคงและได้มาตรฐานสากล
3.  เป็นนายธนาคารและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นนายธนาคารของรัฐบาล บริการธุรกิจธนาคารให้แก่ส่วนราชการ
4.  เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
5.  การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ บริหารให้เกิดสภาพคล่องปลอดภัย มีระดับที่มีเสถียรภาพ และความเชื่อถือของเงินบาท
6.  จัดพิมพ์และออกพันธบัตรออกใช้


สถาบันการเงินที่มีวัตถุประสงค์เป็นพิเศษ

1.  ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารของรัฐบาล มีหน้าที่รับฝากเงินจากประชาชนทั่วไป โดยนำเงินไปลงทุนซื้อหลักทรัพย์รัฐบาล เช่น พันธบัตร เป็นต้น
2.  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่ช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร
3.  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นธนาคารของรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุเคราะห์แก่ประชาชน กู้ยืมเพื่อไปซื้อที่ดินหรืออาคารสิ่งปลูกสร้าง


สถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร

1.  บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
2.  บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จำกัด
3.  บริษัทประกันภัย
4.  สหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์ออมทรัพย์
5.  โรงรับจำนำ


การคลัง

การคลัง หมายถึง กระบวนการดำเนินงานทางการเงิน เกี่ยวกับรายรับ รายจ่ายของรัฐบาล
นโยบายการคลัง หมายถึง นโยบายเกี่ยวกับการใช้ รายได้ และรายจ่ายของรัฐ เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทาง เป้าหมาย และการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
วัตถุประสงค์ของนโยบายการคลัง
1.  ส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้สัดส่วนที่ทำให้สังคมได้รับประโยชน์สูงสุด สามารถจัดหาสินค้าและบริการสาธารณะในปริมาณและคุณภาพที่ตรงกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
2.  ส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ทำให้รายได้เบื้องต้นของประชาชนมีความทัดเทียมกันมากขึ้น
3.  เสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะขยายตัวได้เมื่อมีการลงทุนที่มีอัตราเพิ่มสูงกว่าอัตราเพิ่มของประชาชน รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการคลังที่จะเพิ่มการใช้จ่ายและขยายการลงทุนในภาครัฐบาล
4. รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขาดเสถียรภาพมักก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป จึงต้องสร้างความมีเสถียรภาพในตลาดเงินและสมดุลในบัญชีดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ

เครื่องมือของนโยบายการคลัง คือ
งบประมาณแผ่นดินเป็นแผนการเงินของรับบาล ประกอบด้วยประมาณการรายได้และรายจ่ายรวมทั้งการจัดหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามประมาณการใช้ในช่วงระยะเวลา 1 ปี
1.  งบประมาณจะมีการจัดทำได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
2.  งบประมาณสมดุล หมายถึง รายจ่ายเท่ากับรายได้รวม
3.  งบประมาณเกินดุล หมายถึง รายได้มากกว่ารายจ่าย
4.  งบประมาณขาดดุล หมายถึง รายจ่ายมากกว่ารายได้ ซึ่งในกรณีนี้รัฐบาลต้องจัดหาทุนมาจุนเจือส่วนที่ขาดดุลโดยก่อหนี้สาธารณะ
เครื่องมือของนโยบายการคลังจึงหมายถึง
1.  งบประมาณรายจ่าย
2.  งบประมาณรายรับ
3.  หนี้สาธารณะ
งบประมาณรายจ่ายของรับ หมายถึง ยอดเงินรวมที่รัฐต้องจ่ายออกไปเพื่อพัฒนาประเทศซึ่งรับบาลจะทำแผนประมาณการรายจ่ายประจำปี
1.  รายจ่ายของรัฐ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
      1.  รายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าไฟฟ้า ค่าบริการต่าง ๆ 
      2.  รายจ่ายลงทุน คือ การพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การสร้างเขื่อน ท่าอากาศยาน ฯลฯ
2.  รายรับของรัฐ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
     รายได้จากการเก็บภาษีอากรและรายได้ที่มิใช่ภาษีอากร
     1.  รายได้จากการเก็บภาษีอากร ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของรัฐ
     2.  รายได้ที่มิใช่ภาษีอากร ได้แก่ รายได้จากรัฐพาณิชย์ รายได้จากการขายหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ และการเก็บค่าธรรมเนียมประเภทต่าง  ๆ
3.  หนี้สาธารณะ
     ในกรณีที่งบประมาณแผ่นดินขาดดุลรัฐบาลต้องจัดหาเงินมาจุนเจือส่วนที่ขาดดุลโดยก่อหนี้สาธารณะโดยกู้ทั้งจากภายในประเทศและจากต่างประเทศ

     การกู้เงินภายในประเทศมีวัตถุประสงค์ คือ
     1.  เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลชั่วคราว โดยการกู้เงินภายในประเทศระยะสั้นเพื่อนำมาใช้จ่ายในงบประจำต่าง ๆ ชั่วคราว
     2.  เพื่อใช้ในการลงทุนตามโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ ตามโครงการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เจริญก้าวหน้า
     3.  เพื่อสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องมาจากความต้องการใช้จ่าย ผู้ผลิตจำต้องลดการผลิตลง ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน รัฐบาลอาจต้องเพิ่มรายจ่ายของรัฐบาลเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรและการจ้างงาน การเพิ่มรายจ่ายเช่นนี้ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงิน

การกู้เงินจากต่างประเทศมีวัตถุประสงค์ คือ
1.  เนื่องจากรัฐบาลรับภาระด้านจัดหาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจรองรับความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในยุคทุนนิยม แต่ไม่สามารถเก็บภาษีอากรและรายได้อื่นภายในประเทศได้เพียงพอ
2.  ในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้สินค้าทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และต้องชำระค่าตอบแทนด้วยเงินตราต่างประเทศ แต่เนื่องจากการหารายได้เงินตราต่างประเทศจากการขายสินค้าและบริการส่งออกยังไม่พอเพียง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกู้จากต่างประเทศ

05 พฤศจิกายน 2559

เศรษฐกิจพอเพียง วิชาสังคม มัธยมต้น

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง วิชาสังคม มัธยมต้น



ความหมายของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง

เศรษฐกิจแบบพอเพียง หรือระบบที่พึ่งตนเองได้ เพราะพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มองได้ 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถของชุมชนเมือง รัฐ ประเทศ หรือภูมิภาคหนึ่ง ๆ ในการผลิตสินค้าและบริการทุกชนิดเพื่อเลี้ยงสังคมนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่าง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ


เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล

เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล คือ ความสามารถในการดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพ ที่สำคัญไม่หลงใหลไปตามกระแสของวัตถุนิยม มีอิสรภาพ เสรีภาพไม่พันธนาการอยู่กับสิ่งใด

หลักการพึ่งตนเอง มีหลักสำคัญอยู่ 5 ประการ คือ
1.  ด้านจิตใจ ทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตน มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวม มีจิตใจเอื้ออาทร ประนีประนอม เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
2.  ด้านสังคม แต่ละชุมชนต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชนที่แข็งแรงเป็นอิสระ
3.  ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ใช้และจัดการอย่างฉลาด พร้อมทั้งหาทางเพิ่มมูลค่าโดยให้ยึดอยู่บนหลักการของความยั่งยืน
4. ด้านเทคโนโลยี จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่มีทั้งดีและไม่ดี จึงต้องแยกแยะบนพื้นฐานของภูมิปัญญาชาวบ้านและเลือกใช้เฉพาะที่สอดคล้องกับความต้องการตามสภาพแวดล้อมและควรพัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาของเราเอง
5. ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งเน้นแต่การเพิ่มรายได้ และไม่มีการมุ่งลกรายจ่ายในภาวะที่เศรษฐกิจวิกฤตเช่นเวลานี้ จึงต้องปรับทิศทางการพัฒนาใหม่ คือ ต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคัญโดยยึดหลัก “พออยู่ พอกิน พอใช้”

ทุกข์ของคนไทยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในช่วงปี พ.ศ.2539 – 2540 ที่เศรษฐกิจผันผวน การลงทุนหยุดชะงัก เกิดภาวการณ์ว่างงาน สถาบันทางการเงินล้มเป็นจำนวนมาก กระแสเงินไหลออกจนทุนสำรองระหว่างประเทศกระทบกระเทือนอย่างหนัก กิจการขนาดใหญ่ต้องล้มเลิกกิจการ ล้วนแต่เป็นทุกข์ที่รุนแรงที่ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนไม่สามารถตั้งรับได้ทัน
เหตุวิกฤติครั้งนี้มาจาก การวางแผนพัฒนาประเทศในอดีตมุ่งความเจริญทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลักสำคัญ ทุ่มเทขยายการผลิตไปในด้านอุตสาหกรรมมากกว่าด้านเกษตรกรรมซึ่งเป็นการผลิตที่เน้นปัจจัยที่เหมาะสมของไทยเป็นสำคัญ
แนวทางพ้นทุกข์ ที่จะทำให้หลุดพ้นจากระบบเศรษฐกิจที่พังพินาศ คือ การประคองตนเองให้ลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองต่อไป ด้วยวิธีการแบบที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “เศรษฐกิจพอเพียงกับตนเอง” (Relative Self – Sufficient Economy) เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตและลุกขึ้นต่อสู่ต่อไปได้อย่างช้า ๆ แต่ยั่งยืน

การดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นการเข้าสู่มาตรฐาน “พออยู่ พอกิน” ตามพระราชดำริอาจปฏิบัติได้ดังนี้
1.  ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพ
2.  ยึดการประกอบอาชีพสุจริต แม้จะอยู่ในภาวะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
3.  ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และการแข่งขันในการประกอบอาชีพ การค้าขายในอดีต
4.  ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก โดยใฝ่หาความรู้ ให้เกิดรายได้เพิ่มพูนขึ้นจนถึงขั้นพอเพียง
5.  ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่วให้หมดสิ้นไป ทั้งนี้ด้วยสังคมไทยล่มสลายจากบุคคลบางส่วนที่มีส่วนทำลายทั้งตนเองและผู้อื่นโดยปราศจากความละอายต่อบาป


แนวคิดระบบเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับเกษตรกร

ตามแนวพระราชดำริตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ทฤษฏีใหม่ 3 ขั้น” คือ


  1. ขั้นที่หนึ่ง มีความพอเพียง เลี้ยงตัวเองได้บนพื้นฐานของความประหยัด ขจัดการใช้จ่าย
  2. ขั้นที่สอง รวมพลังกันในรูปของกลุ่ม เพื่อทำการผลิต การตลาด การจัดการ รวมทั้งด้านสวัสดิการการศึกษา การพัฒนาสังคม การปกครองตนเอง ฯ
  3. ขั้นที่สาม สร้างเครือข่ายกลุ่มอาชีพและขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หลากหลายโดยประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภาคองค์กรพัฒนาเอกชน และภาคราชการในด้านการเงินทุน ตลาด การผลิต การจัดการ และข่าวสารข้อมูล



แนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ

ประการแรก เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยึดหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” คือ
-  มุ่งเน้นผลิตพืชผลเพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือน
-  เมื่อเหลือจากการบริโภคแล้วจึงคำนึงถึงการผลิตเพื่อการค้าอันถือเป็นกำไร ผลคือ เกษตรกรจะเป็นผู้กำหนดตลาด และได้ลดค่าใช้จ่ายโดยการสร้างสิ่งอุปโภคบริโภคในที่ดินของตนเอง

ประการที่สอง ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มชาวบ้าน หรือองค์กรในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ หลากหลายแบบผสมผสาน ทำให้ชุมชนมีรายได้

ประการที่สาม อยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ความเอื้ออาทร ความสามัคคีของสมาชิกในชุมชน การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันครอบครัว ชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น


ผู้ที่อยู่นอกภาคเกษตรกรรม

สามารถนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นแนวปฏิบัติตนไม่ว่าจะอยู่ในกิจกรรมใด อาชีพใด ก็ต้องยึดวิถีชีวิตไทย อยู่แต่พอดี อย่าฟุ่มเฟือยอย่างไร้ประโยชน์ อย่ายึดวัตถุเป็นที่ตั้ง ยึดเส้นทางสายกลาง อยู่กินตามฐานะ ใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต จำเริญเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าใช้หลักการลงทุนเชิงการพนันซึ่งตั้งอยู่ในความเสี่ยง กู้เงินมาลงทุนโดยหวังรวยอย่างรวดเร็ว ตั้งมั่นในการใช้สติปัญญาปกป้องตนเองจากกระแสโลกาภิวัฒน์ ให้มีความรัก ความเมตตาที่จะช่วยเหลือสังคมให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ และรวมพลังกันด้วยความสามัคคีเป็นหมู่เหล่า ประนีประนอมรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
ทฤษฎีใหม่ (New theory)


เศรษฐกิจพอเพียง วิชาสังคม มัธยมต้น


จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ที่ได้ทรงประทานไว้ในวโรกาสต่าง ๆ น่าจะพอสรุปได้ คือ

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 แนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกษตรกรที่มีที่ดินถือครองประมาณ 10 – 15 ไร่ สามารถมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรอย่างพอเพียงตลอดปี และการใช้น้ำกับที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยแบ่งที่ดินถือครองออกเป็นสัดส่วนดังนี้
ส่วนที่ 1 ร้อยละ 30 ของพื้นที่ใช้ขุดสระ เพื่อมีน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
ส่วนที่ 2 ร้อยละ 60 ของพื้นที่ใช้สำหรับทำนาปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ทำสวน
ส่วนที่ 3 ร้อยละ 10 ของพื้นที่ใช้สำหรับเป็นที่บริการ เช่น ถนน ที่อยู่อาศัย อื่น ๆ 
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 การรวมพลังกันในรูปของกลุ่มหรือสหกรณ์ร่วมแรงในการการผลิต การตลาด การเป็นอยู่ สวัสดิการ การศึกษา และสังคมและศาสนา ด้วยความร่วมมือของหน่วยราชการมูลนิธิและเอกชน
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 ติดต่อร่วมมือกับแหล่งเงิน (ธนาคาร) แหล่งพลังงาน (บริษัทน้ำมัน) ตั้งและบริการโรงสี ตั้งและบริหารร้านสหกรณ์


ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานสรุป)

1.  ทำให้ประชาชนมีกินตามอัตภาพ
2.  ถ้าน้ำพอดีปีไหนก็สามารถทำการเกษตรหรือปลูกข้าวนาปีได้ ถ้าต่อไปในหน้าแล้งน้ำมีน้อยก็สามารถนำน้ำจากสระมาใช้ได้
3.  ถ้าในภาวะปกติก็สามารถทำให้มีรายได้มากขึ้น
4.  ถ้าในภาวะที่มีอุทกภัยก็สามารถจะฟื้นตัวได้ โดยไม่ต้องให้ทางราชการไปช่วยมากเกินไปทำให้พึ่งตนเองได้เป็นอย่างดี


ปัจจุบันมีผู้ศึกษาเกี่ยวกับ “การวิเคราะห์อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง” ค้นพบว่า ถ้านำหลักการแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ก็จะทำให้กิจกรรมเหล่านี้สามารถดำเนินกิจกรรมไปได้โดยตลอด จึงถือได้ว่าอาจใช้ประยุกต์แทนหลักธรรมมาภิบาลได้ สรุปได้ 9 ข้อ คือ
1. ใช้เทคโนโลยีให้ถกหลักวิชาแต่มีราคาถูก
2. ใช้ทรัพยากรทุกชนิดอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
3. เน้นการจ้างงานเป็นหลักโดยไม่นำเทคโนโลยีมาทดแทนแรงงาน
4. มีขนาดการผลิตที่สอดคล้องกับความสามารถบริหารจัดการ
5. ไม่โลภจนเกินไป
6. ซื่อสัตย์สุจริตในการประกอบการ
7. กระจายความเสี่ยงจากการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีความสามารถในการเปลี่ยนผลผลิตได้ง่าย
8. เน้นการบริหารความเสี่ยวต่ำ ไม่ก่อหนี้เกินขีดความสามารถบริหารจัดการ
9. เน้นการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ตลาดในท้องถิ่น ถูมิภาค ตลาดในและต่างประเทศตามลำดับ








04 พฤศจิกายน 2559

วิชาภาษาอังกฤษ มัธยมต้นเรื่อง Word order

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ

Word order

เรียนภาษาอังกฤษที่บ้านแบบตัวต่อตัว



Word order คือ การเรียงลำดับตำแหน่งคำของประโยคในภาษาอังกฤษนั้นเอง เพื่อให้การเขียนและการพูดภาษาอังกฤษ มีความไพเราะและถูกต้องในเรื่องของโครงสร้างประโยค ซึ่งมีหลักเกณฑ์สำคัญๆ อยู่ไม่กี่อย่าง Ungkrit.com ได้สรุปหลักสำคัญ มาให้ทุกคนได้เรียนรู้และง่ายต่อการทำความเข้าใจ  

รูปประโยค

  ประธาน + กริยา + กรรม
  ตัวอย่าง: Cats+ eat+ fish

ประโยคคำถาม

  กริยาช่วย + ประธาน + รูปกริยาที่มี To นำหน้าและทำหน้าที่เป็นนาม หรือ กริยาช่องที่ 3…?
  (ตัวอย่าง: Have you visited her?)
  คำกริยาช่วย + ประธาน + รูปกริยาที่ทำหน้าที่เป็นนาม.....?
  (ตัวอย่าง: Can you swim?)

Subject Question

  Who + กริยา (ทั้งที่มี / และไม่มี กริยาช่วย)....?
  (ตัวอย่าง: Who has eaten the cake? Who ate the cake?)
Object Question
  อะไร / ทำไม / เมื่อไร + กริยาช่วย + ประธาน + รูปกริยาทำหน้าที่เป็นนาม หรือ กริยาช่องที่ 3 
  (ตัวอย่าง: Why did you leave?) 

กฎทั่วๆไป

  คำคุณศัพท์ จะต้องอยู่ข้างหน้าและสอดคล้องกับนาม
  (ตัวอย่าง: Hungry, black cats eat raw and cooked fish)
  กริยา จะต้องอยู่ข้างหน้าและสอดคล้องกับ คำที่ทำหน้าที่ขยายกริยา
  (ตัวอย่าง: Although he was eating noisily, she watched quietly)
  คำนำหน้านามจะต้องอยู่ข้างหน้าและสอดคล้องกับนาม
  (ตัวอย่าง: The Vatican chose a Polish priest to be Pope)
  

การเรียงลำดับคำในประโยค

การเรียงลำดับคำในประโยคเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้มีความซับซ้อนขนาดที่ว่ายากเกินที่จะทำความเข้าใจกับมัน และเราสามารถลดให้เหลือแต่หลักการสำคัญๆในการทำความเข้าใจกับ Word order

ในรูปประโยคปกติ (ประโยคบอกเล่าทั่วๆไป) ประธานของประโยคจะต้องอยู่ก่อนหน้า กริยาเสมอ และกรรมตรง (ถ้าหากว่ามีในรูปประโยค) จะต้องตามหลังกริยาเสมอ
  ตัวอย่าง:
  The man wrote a letter.  People who live in glasshouses shouldn't throw stones.  The president laughed.


ให้จำไว้ว่าประธานของประโยค ไม่ได้หมายถึงคำเดี่ยวๆเพียงคำเดียว แต่หมายถึง คำนามหรือคำสรรพนามประอบกับการขยายวลีเข้าด้วยกัน ส่วนที่เหลือของประโยคที่ไม่ใช่ประธานเราจะเรียกว่าภาคแสดง
  ตัวอย่าง:  People who live in glasshouses shouldn't throw stones.

ถ้ารูปประโยคมีส่วนใดๆก็ตามที่เป็น กรรมรอง, กริยาช่วย, ข้อความที่มีคำกริยาวิเศษณ์ที่พ่วงบุพบทเข้าขยายกริยา ส่วนต่างๆเหล่านี้มักโดยปรกติแล้วมักจะวางตามมาในรูปประโยค
   
ตำแหน่งของกรรมรอง
  กรรมรองจะอยู่ต่อท้าย กรรมตรง เมื่ออยู่รวมกับประโยคมีคำบุพบท to:
  กรรมรองจะอยู่ ข้างหน้าของกรรมตรง ถ้ามี to อยู่ด้วย
  ตัวอย่าง:
  The doctor gave some medicine to the child.
  The doctor gave the child some medicine.
   
กริยาช่วย หรือ กริยาวิเศษณ์วลี สามารถวางได้ 3 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
  วางไว้อยู่หน้าประธาน ในรูปประโยค (จะอยู่รวมกับกริยาช่วย หรือ กริยาวลี)
  ตัวอย่าง: Yesterday the man wrote a letter.
อยู่หลังกรรม (เสมือนว่ากริยาช่วยใดๆก็ตาม หรือ กริยาวิเศษณ์วลี สามารถวางได้ในรูปประโยคนี้)
  ตัวอย่าง: The man wrote a letter on his computer in the train.
  วางไว้ในตรงกลางของกลุ่มคำกริยา (อยู่ร่วมกับกริยาวิเศษณ์วลีทั่วไป)
  ตัวอย่าง: The man has already written his letter.

ในภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานนั้น โดยปกติแล้วจะไม่มีสิ่งใด มาขั้นระหว่างประธานและกริยา หรือ ระหว่างกริยาและกรรม ซึ่งมีข้อยกเว้นอยู่เล็กน้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับกริยาช่วยและ กรรมรองที่ไม่มี to.
  ตัวอย่าง:  The man often wrote his mother a letter.  I sometimes give my dog a bone.
 

  ประโยคคำถาม

  เราจำประโยคคำถามง่ายๆแบบนี้ ทีเราพูดในภาษาอังกฤษได้ไหม How do you do? เกือบจะทุกคำถามโครงสร้างประโยคคำถามส่วนมากในภาษาอังกฤษนั้น ได้อิงพื้นฐานมาจากรูปประโยคนี้ ( คำถาม + รูปกริยาทำหน้าที่เป็นนาม หรือ กริยาช่วย – ประธาน – กริยาหลัก + ส่วนที่เหลืองของประโยค
  (Question word) - Auxiliary or modal - subject - main verb - (plus the rest of the sentence): 
  ตัวอย่าง : 
  What did Tom Cruise do?
  Did Arnold Schwarzenegger learn English quickly?
  How quickly did Arnold Schwarzenegger learn English?
  Has the representative from that German company sent us his invoice yet?

ข้อยกเว้น

      แน่นอนที่สุดสำหรับกฎการใช้งานต่างๆนั้น จะต้องมีการยกเว้นในบางอย่าง คนที่เขียนภาษาอังกฤษ คนที่พูดภาษาอังกฤษในบางครั้งพวกเขาเหล่านั้นก็มีการใช้ Word order ที่มีความแตกต่างกันออกไป หรือ มีการใช้ในรูปประโยคที่ไม่ได้ใช้กันบ่อยๆ แต่ถ้าหากว่าเราไปให้ความสำคัญกับข้อยกเว้นในการใช้งานจนเกินไป เราอาจจะละเลยหลักการที่สำคัญๆ ของ word order ได้ และอาจทำให้เรื่อง word order ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนมากนัก กลายเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับเราไปเลยก็ได้ และนี้เป็นตัวอย่างเพียงแค่เล็กน้อย 
      เราควรจะตระหนักว่า Word order นั้นสามารถนำมาใช้ในภาษาอังกฤษได้ แต่อย่าพยายามใช้มันถ้าหากว่าไม่มีความจำเป็นต่อบริบทนั้นจริงๆ หรือถ้าหากคุณมีความชำนาญในการใช้ word order ในรูปแบบต่างๆแล้วจริง (อย่าพยายามวิ่ง จนกว่าคุณจะเดินได้อย่างมั่นคง)
ตัวอย่าง:
  Never before had I seen such a magnificent exhibition.
  (หลัง Never หรือ never before ประธานและกริยา สามารถแปลงเป็นรูปอื่นได้)
   
  Hardly had I left the house, than it started to rain.
  (เมื่อประโยคขึ้นต้นด้วย Hardly ประธานและกริยาจะต้องมีการเปลี่ยนรูป)
   
  Had I known, I'd never have gone there.
  (การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อในประโยคมีเงื่อนไขที่เป็นสมมุติฐาน และเมื่อ If ถูกละไว้)
   
  The book that you gave me I'd read already.
  (ในประโยคนี้มีกรรมที่มีความยาว คือ “The book that you gave” ถูกวางใน ตอนต้นของประโยคด้วย 
  รูปแบบของเหตุและผล ซึ่งเรามักจะไม่ค่อยได้เห็น โครงสร้างประโยคแบบนี้บ่อยนัก เป็นเพียงแค่การ  
  เขียนอีกรูปแบบหนึ่ง)










วิชาภาษาอังกฤษ มัธยมต้น เรื่อง Stative verbs

อันดับ1 ครูสอนพิเศษ เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีมติวเตอร์คุณภาพ

Stative verb

คำกริยาเป็น Part of speech หนึ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นส่วนที่จะสื่อสารข้อมูลซึ่งแสดงใจความสำคัญของประโยค ความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุมเกี่ยวกับคำกริยาจึงจำเป็นสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ



คำกริยาเป็น Part of speech หนึ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นส่วนที่จะสื่อสารข้อมูลซึ่งแสดงใจความสำคัญของประโยค ความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุมเกี่ยวกับคำกริยาจึงจำเป็นสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ  

เมื่อนึกถึงคำกริยา คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการกระทำบางอย่างที่ต้องมีการเคลื่อนไหว แสดงให้เห็นอาการบางอย่างของคน หรือ สัตว์ หากให้ผู้เรียนยกตัวอย่างคำกริยา คำตอบที่ได้มักจะได้แก่คำกริยาต่างๆซึ่งแสดงการเคลื่อนไหว หรือการกระทำในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา เช่น eat  walk  run  speak  sing  write เป็นต้น คำกริยาลักษณะนี้เรียกว่าคำกริยาแสดงอาการ (action หรือ dynamic verbs) ซึ่งเป็นคำกริยาส่วนใหญ่ในภาษาอังกฤษ แต่คำกริยาไม่จำเป็นต้องแสดงการเคลื่อนไหวหรืออาการที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอไป และคำกริยาไม่จำเป็นต้องใช้กับสิ่งมีชีวิตเสมอไป คำกริยาที่ดำเนินอยู่ แต่มองไม่เห็น และยังสามารถใช้กับประธานที่เป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของได้นี้คือคำกริยาแสดงสภาวะ หรือ stative verbs เป็นคำกริยาที่บรรยายให้เห็นสภาวะ (state) ไม่ใช่การกระทำ  บางท่านอาจเรียกว่า abstract verbs เนื่องจากเป็นกริยาที่ไม่สามารถจับต้องได้ นอกจากนี้คำกริยากลุ่มนี้ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Nonprogressive verbs เนื่องจากเราไม่สามารถใช้คำกริยาแสดงสภาวะนี้ในรูปของ –ing ได้


ประเภทของคำกริยาแสดงสภาวะ

คำกริยาแสดงสภาวะแบ่งออกได้เป็น 6 ประเภท หรือ 6 กลุ่ม ตามความหมายของมัน ดังนี้

1. คำกริยาที่แสดงประสาทสัมผัสและการรับรู้ (Verbs of the senses and perception) 
      เป็นคำกริยาที่แสดงถึงการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการรับรู้สิ่งรอบตัวนั่นเอง ได้แก่คำต่อไปนี้
  Feel see sound Hear smell taste

เช่น
Did you hear the explosion? คุณได้ยินเสียงระเบิดใหม่


The coffee smells so good.กาแฟกลิ่นหอมจัง

คำขยาย stative verbs ในกลุ่มนี้ ต้องใช้ adjectives เท่านั้น ไม่สามารถใช้ adverbs เหมือนคำกริยาโดย ทั่วๆไปได้ ซึ่งการขยายคำกริยากลุ่มนี้ด้วย adverbs เป็นข้อผิดพลาดที่พบเห็นเป็นประจำ

2. คำกริยาที่แสดงสภาวะทางความคิด (Verbs of Mental State) 
      เป็นคำกริยาที่แสดงถึงการทำงานของสมอง ระบบความจำ และระบบความคิด ซึ่งการทำงานเหล่านี้เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือมีอยู่หรือไม่ ได้แก่คำต่อไปนี้

believe know recognize think
doubt mean remember understand
forget realize suppose


เช่น She believes that he loves her.
I doubt that the money will arrive in time.
I forgot to turn off the light.

3.  คำกริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Verbs of Possession)
คน หรือสัตว์สามารถเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆได้โดยไม่จำเป็นต้องประกาศความเป็นเจ้าของนั้นๆให้สาธารณชนรับรู้เสมอไป แต่สภาวะความเป็นเจ้าของก็ยังคงมีอยู่ คำกริยาแสดงความเป็นเจ้าของได้แก่คำต่อไปนี้

belong own have possess
เช่น
My grandfather owns this farm.
คุณปู่ผมเป็นเจ้าของฟาร์มนี้

That bone belongs to Bobby.
กระดูกท่อนนั้นเป็นของเจ้าบ๊อบบี้

4.  คำกริยาแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ (Verbs of Feeling or Emotion)
ความรู้สึกและอารมณ์อาจเกิดขึ้นแล้วหายไป แต่ความรู้สึกและอารมณ์บางอย่างอาจเกิดขึ้นแล้วและคงอยู่ต่อไปเป็นเวลานานก็ได้ ดังนั้นความรู้สึกและอารมณ์จึงมีลักษณะเป็นสภาวะที่เก็บอยู่ในใจคนโดยที่ผู้อื่นอาจไม่รับรู้ก็เป็นได้ คำกริยาที่แสดงความรู้สึกและอารมณ์ได้แก่คำกริยาต่อไปนี้
adore fear love prefer
astonish hate mind surprise wish
enjoy like please envy

เช่น
Wilbur adores charlotte.
วิลเบอร์ชื่นชมชาร์ลอตต์

The news  astonished us.
ข่าวนี้ทำให้เราประหลาดใจ

We enjoyed our holidays so much.
เราสนุกสนานกับวันหยุดของเราอย่างมาก



5.  คำกริยาแสดงการวัดหรือประมาณค่า (Verbs of Measurement)
หลายๆคนอาจสงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงจัดคำกริยาแสดงการวัดหรือประมาณอยู่ในกลุ่มของคำกริยาที่แสดงสภาวะ เพราะการวัดปริมาณน่าจะต้องมีการใช้เครื่องมือบางอย่างมาทำการวัด กริยาในกลุ่มนี้ได้แก่คำต่อไปนี้
contain equal weigh
cost          measure
เช่น
The ring is nice, but it costs too much.
แหวนวงนี้สวยดี แต่มันแพงไปหน่อย

The whole package contains four books.
ทั้งห่อมีหนังสือ 4 เล่ม

6.  คำกริยาแสดงสภาวะอื่นๆ (Verbs that express states)
นอกเหนือจากกลุ่มคำแสดงสภาวะทั้ง 5 กลุ่มที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีคำแสดงสภาวะอื่นๆอีก ดังนี้
be owe seem
exist require
เช่น
The town is three miles away.
ตัวเมืองอยู่ห่างออกไป 3 ไมล์

You seem sad today.
วันนี้เธอดูเศร้าๆนะ


การใช้คำกริยาแสดงสภาวะ

ใช้คำกริยาแสดงสภาวะในกรณีต่อไปนี้
1. เมื่อต้องการแสดงให้เห็นสภาวะใดสภาวะหนึ่ง โดยสิ่งๆนั้นจะยังคงสภาพนั้นต่อๆไปโดยไม่เปลี่ยนแปลง อย่างน้อยชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น
The theatre is small.
โรงละครเล็ก

She has a cat.
เธอมีแมวหนึ่งตัว

We own a factory.
เราเป็นเจ้าของโรงงานหนึ่งโรง
ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้คำกริยาแสดงสภาวะในรูปของ progressive ได้
We have two cars.  (ใช้ได้)
We are having two cars. (ใช้ไม่ได้)

2. มี stative verbs อยู่จำนวนหนึ่งที่มีทั้งความหมายที่แสดงสภาวะ (stative meaning) และความหมายที่แสดงอาการ (active meaning) เวลาใช้จึงควรระวัง เพราะถ้าใช้ในความหมายที่แสดงสภาวะ จะเป็น progressive ไม่ได้ แต่ถ้าใช้ในความหมายที่แสดงอาการ จะเป็น progressive ได้ ผู้เรียนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงนี้มักจะจำเป็นกฎตายตัวว่าห้ามเปลี่ยนรูป stative verb เป็น progressive form ซึ่งกฎข้อนี้ใช้ไม่ได้กับ verb กลุ่มนี้ เช่น

Julie appears happy. (stative)
จูลี่ดูมีความสุข

Julie is appearing in a new show. (active)
จูลี่จะปรากฏตัวในการแสดงชุดใหม่

I think it is a good idea.  (stative)
ฉันคิด(เชื่อ)ว่ามันเป็นความคิดที่ดี

I am thinking about the problem.  (active)
ฉันกำลังคิดตรึกตรองเกี่ยวกับปัญหาอยู่

3. เมื่อใช้ verb to be + adjective ความหมายมักจะเป็นการแสดงสภาวะมากกว่าการกระทำ เช่น
He is tall.
The mango is sweet.
The bacons are crispy.
อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ verb to be + adjective ใน progressive form ประโยคนั้นจะหมายถึงสิ่งซึ่งมีสภาวะชั่วคราว และ adjective ซึ่งตามหลัง verb to be จะต้องกล่าวถึงพฤติกรรมที่ประธานของประโยคสามารถควบคุมได้   
  เช่น
He is polite. (แสดงลักษณะนิสัยซึ่งเป็นนิสัยแท้ๆของเขา)
เขาเป็นคนสุภาพ.






ดูโปรไฟล์ครูสอนพิเศษทั้งหมด

  • ครูสอนพิเศษชลบุรีเรียนพิเศษที่บ้าน จ.ชลบุรี
  • ครูสอนพิเศษพิษณุโลกเรียนพิเศษที่บ้าน จ.พิษณุโลก
  • ครูสอนพิเศษเชียงใหม่เรียนพิเศษที่บ้าน จ.เชียงใหม่
  • ครูสอนพิเศษขอนแก่นเรียนพิเศษที่บ้าน จ.ขอนแก่น
  • ครูสอนพิเศษขอนแก่นเรียนพิเศษที่บ้าน จ.ภูเก็ต
  • ครูสอนพิเศษนนทบุรีเรียนพิเศษที่บ้าน จ.นนทบุรี
  • Tutor Reviews


    Total Rating ✔

    9.2 stars – 2,789 reviews


    ดูรีวิวติวเตอร์ทั้งหมด


  • รีวิวการสอนนักเรียนอินเตอร์คุณแม่น้อง เกรด 11 MUIDS ที่ราชพฤกษ์
  • รีวิวการเรียนMathคุณแม่น้อง เกรด 10 จ.ชลบุรี
  • www.tutorferry.comคุณน้าน้อง ม.5 ที่วัชรพล
  • รีวิวการสอนเสริมทักษะภาษาไทยคุณแม่น้องอนุบาล 2 ที่พัทยา
  • รีวิวการสอนภาษาเกาหลีนักเรียน คนวัยทำงาน ที่ระยอง
  • รีวิวการสอนภาษาญี่ปุ่นคนทำงาน ที่กรุงเทพฯ
  • Tutor Ferry แนะนำครูสอนพิเศษ

    เรียนพิเศษที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์ใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนพิเศษเฉพาะด้าน ต้องการครูสอนพิเศษที่บ้าน ต้องการหาครูสอนภาษา Tutor Ferry เรียนพิเศษที่บ้าน หาครูสอนพิเศษตามบ้าน ต้องการเรียนภาษาที่บ้านเรียนตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ รับสอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลีและภาษาอื่นๆ คลิกที่นี่เลย

    เรียนภาษาไทยที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์ภาษาไทยใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนภาษาไทย Tutor Ferry เรียนภาษาไทยที่บ้าน หาครูสอนภาษาไทยตามบ้าน ต้องการเรียนภาษาไทยตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนภาษาไทย คลิกที่นี่เลย

    เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์ภาษาญี่ปุ่นใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนภาษาญี่ปุ่น Tutor Ferry เรียนภาษาญี่ปุ่นที่บ้าน หาครูสอนภาษาญี่ปุ่นตามบ้าน ต้องการเรียนภาษาญี่ปุ่นตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนภาษาญี่ปุ่น คลิกที่นี่เลย

    เรียนภาษาเกาหลีที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์ภาษาเกาหลีใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนภาษาเกาหลี Tutor Ferry เรียนภาษาเกาหลีที่บ้าน หาครูสอนภาษาเกาหลีตามบ้าน ต้องการเรียนภาษาเกาหลีตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนภาษาเกาหลี คลิกที่นี่เลย

    เรียนวิทยาศาสตร์ที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์วิทยาศาสตร์ใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนวิทยาศาสตร์ Tutor Ferry เรียนวิทยาศาสตร์ที่บ้าน หาครูสอนวิทยาศาสตร์ตามบ้าน ต้องการเรียนวิทยาศาสตร์ตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนวิทยาศาสตร์ คลิกที่นี่เลย

    เรียนคณิตศาสตร์ที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์คณิตศาสตร์ใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนคณิตศาสตร์ ต้องการครูสอนคณิตที่บ้าน Tutor Ferry เรียนคณิตศาสตร์ที่บ้าน หาครูสอนคณิตตามบ้าน ต้องการเรียนคณิตตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ คลิกที่นี่เลย

    เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์ภาษาอังกฤษใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนภาษาอังกฤษ Tutor Ferry เรียนภาษาอังกฤษที่บ้าน หาครูสอนภาษาอังกฤษตามบ้าน ต้องการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่เลย

    เรียนภาษาจีนที่ไหนดี?

    กำลังหาติวเตอร์ภาษาจีนใกล้ๆบ้าน ต้องการหาครูสอนภาษาจีน Tutor Ferry เรียนภาษาจีนที่บ้าน หาครูสอนภาษาจีนตามบ้าน ต้องการเรียนภาษาจีนตัวต่อตัว

    Tutor Ferry รับสอนภาษาจีน คลิกที่นี่เลย